โลกเย็นที่เป็นธรรมได้อย่างไร

​เคารพทุกสรรพสิ่งและทุกคนในสังคม

วิกฤตต่างๆ ที่เรากำลังเผชิญทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตสังคม วิกฤตโลกร้อน วิกฤตความมั่นคงทางอาหาร กำลังส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าการมุ่งพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาซึ่งปล่อยให้เงินตราและผลประโยชน์เป็นตัวขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียวโดยมิได้รวมเอาต้นทุนทั้งหมดของกิจกรรมของมนุษย์ซึ่งส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและคนอื่นๆในสังคม ไม่ใช่หนทางแห่งอนาคต เนื่องเพราะทรัพยากรธรรมชาติมีวันหมด และการพยายามเติบโตอย่างไม่มีที่สิ้นสุดทำให้มนุษย์ไม่สามารถอยู่ร่วมกับสิ่งอื่นๆ ในโลกได้อย่างสมดุลย์  ทั้งยังสร้างความขัดแย้งภายในสังคมมนุษย์ด้วยกัน และเนื่องจาก เราต้องการมีชีวิตที่ดีและมีความเป็นธรรมไม่ใช่ชีวิตปล่อยคาร์บอนต่ำเพียงอย่างเดียว จึงถึงเวลาที่เราต้องหันกลับมาดู "คุณค่าของสรรพสิ่งแทนการตีราคา" 

แนวคิดซึ่งเป็นทางออกต่อวิกฤตความไร้สมดุลย์ของโลกในขณะนี้ ถูกสะท้อนอยู่ใน "ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิของแม่ธรณี" (Declaration for Rights of Mother Earth) ซึ่งมีการนำเสนอโดยเครือข่ายภาคประชาชนและชนเผ่าพื้นเมืองจากกว่า 100 ประเทศทั่วโลกเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2553 อันมีใจความสำคัญคือ "ทุกสรรพชีวิตมีหน้าที่ต้องคงไว้ซึ่งความสมดุลของระบบนิเวศและปกป้องสถานภาพของแม่ธรณี" ทั้งนี้ ความเคารพต่อ "สิทธิของแม่ธรณี" หรือ "Rights of Mother Earth" นั้นคล้ายคลึงระบบความเชื่อและค่านิยมของชนพื้นเมืองหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมทั้งชาวกะเหรี่ยงและชนเผ่าในประเทศไทยด้วย นั่นคือความเชื่อที่ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกเป็นหนึ่งเดียวและมีคุณค่าโดยตัวของมันเอง เพราะโลกไม่ได้มีมนุษย์เป็นจุดศูนย์กลางเท่านั้น

เปลี่ยนระบบ - อย่ารอให้โลกเปลี่ยน

แน่นอนว่าเราต้องการหยุดวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่หากเรายังเข้าใจปัญหาไม่รอบด้านว่าโลกร้อนเชื่อมโยงกับมิติความเป็นธรรมอย่างไร เราก็จะมุ่งแก้ปัญหาเฉพาะก๊าซเรือนกระจก โดยละเลยประวัติศาสตร์และบริบทอื่นๆ ซึ่งแม้อาจลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมได้บ้าง แต่จะเพิ่มความขัดแย้งทางสังคมและการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มต่างๆ ในสังคมมากขึ้น โลกที่ควรจะเย็นลงก็จะกลับร้อนระอุขึ้นแทน ดังนั้น จึงหลีกหนีไม่พ้นที่จะต้องแก้ไขปัญหาโลกร้อนและปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคมไปพร้อมๆกัน 

ความสามารถในการตระหนักและการเรียนรู้ความผิดพลาดจากการกระทำของเราคือหนึ่งในก้าวแรกที่จะเยียวยาและฟื้นฟูโลกได้  และหากต้นตอของปัญหาคือวิธีคิดและวิธีการพัฒนาของมนุษย์ที่ผ่านมาซึ่งกำหนดวิถีการใช้ทรัพยากร การผลิต และการบริโภคที่เป็นอยู่ปัจจุบัน หนทางออกที่แท้จริงคือเราต้องเปลี่ยนระบบดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อเสนอแนะของกระบวนการเคลื่อนไหวต้านโลกร้อนด้วยความเป็นธรรม (Climate Justice) ทั่วโลก ที่พยายามเรียกร้องว่า

"เปลี่ยนระบบ - อย่ารอให้โลกเปลี่ยน" (System Change Not Climate Change)

 

ถึงเวลาหยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังและเร่งด่วน

การถลุงใช้ทรัพยากรธรรมชาติ การบริโภคอย่างล้นเกิน การใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล และกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ เป็นต้นเหตุของวิกฤตโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้นจริงและกำลังเดินหน้าไปสู่หายนะ จึงถึงเวลาที่สังคมมนุษย์ต้องหันมาทบทวนตัวเองและหยุดกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังและเร่งด่วนที่สุด เพื่อให้ระบบของโลก (Earth System) และทุกสรรพสิ่งสามารถดำรงค์อยู่ต่อไปได้ โดยยึดหลักความผิดชอบร่วมในระดับที่แตกต่าง (CBDR) กล่าวคือ ประเทศพัฒนาแล้วต้องรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันจำนวนมากในอดีต ในขณะเดียวกัน ชนชั้นนำในประเทศกำลังพัฒนาก็ไม่สมควรจะเดินหน้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศอย่างไม่ลืมหูลืมตาตามวิถีที่ผิดพลาดของประเทศพัฒนาแล้วที่ผ่านมาและหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อวิกฤตโลกร้อน แต่ควรมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย

 

นโยบายลดโลกร้อนที่เป็นธรรม 

ในเมื่อ "การซื้อ-ขายคาร์บอน" ไม่ได้เป็นทางออกของวิกฤตโลกร้อนที่ยั่งยืนซ้ำยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและผู้คนในสังคม สิ่งที่จำเป็นในการแก้วิกฤตโลกร้อนในตอนนี้คือการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดการแก้โลกร้อน ด้วยการคำนึงถึงมิติความเป็นธรรมและผลกระทบจากสิ่งที่เราคิดอย่างรอบด้าน โดย "การเปลี่ยนแปลงทางความคิดและกระบวนทัศน์ของการพัฒนาเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจสะท้อนความเป็นจริงของระบบนิเวศและสังคม" ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงในระดับปัจเจกเป็นสิ่งจำเป็น แต่ไม่เพียงพอที่จะเป็นทางออกสำหรับปัญหาทางสิ่งแวดล้อมและวิกฤตโลกร้อนที่อยู่เหนือพรหมแดนรัฐชาติ จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายและเชื่อมโยงยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาในระดับโลกและระดับชาติด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ คณะทำงานโลกเย็นที่เป็นธรรมร่วมกับเครือข่ายประชาชน ได้ร่วมกันผลักดันการวางแผนนโยบายในประเทศไทยเพื่อรับมือกับวิกฤตโลกร้อน ซึ่งให้ความสำคัญกับการลดโลกร้อนที่ต้นตอของปัญหาแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์และสุขภาพของประชาชน ส่งเสริมและสนับสนุนการตั้งรับและปรับตัวต่อวิกฤตโลกร้อนของกลุ่มคนในสังคมที่มีความเสี่ยงและความอ่อนไหวต่อผลกระทบจากโลกร้อนสูง โดยแนวนโยบายเหล่านี้จะต้องสะท้อนความเป็นธรรม มีความเชื่อมโยงกับนโยบายอื่นๆ และตระหนักถึงการมีส่วนร่วมและสิทธิของชุมชนในการเป็นเจ้าของและจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ผ่านการผลักดันกระบวนการร่าง "แผนแม่บทแห่งชาติเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" และยังคงติดตามเพื่อให้แนวนโยบายที่ดีในแผนดังกล่าวถูกนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป