วิกฤตโลกร้อนเลวร้ายกว่าที่คิดและมีมนุษย์เป็นต้นเหตุ
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เรารับรู้ถึงวิกฤตสภาพอากาศผันผวนอย่างสุดขั้ว (extreme weather events) ซึ่งเกิดขึ้นถ้วนทั่วกันทุกทวีป และเราปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไปว่าวิกฤตดังกล่าวเชื่อมโยงกับ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” หรือ “สภาวะโลกร้อน” อันเป็นผลจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศจำนวนมาก ทำให้อุณหภูมิโดยรวมของโลกสูงขึ้น ส่งผลให้สภาพภูมิอากาศทั่วโลกเปลี่ยนแปลง
"คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" หรือ ไอพีซีซี (IPCC: Intergovernmental Panel on Climate Change) อันประกอบด้วยคณะนักวิทยาศาสตร์จาก 195 ประเทศทั่วโลกภายใต้สหประชาชาติ สรุปในร่างรายงานฉบับที่ 5 ซึ่งรั่วออกมาสู่สาธารณะเมื่อเดือนกันยายน 2555 ระบุเป็นที่แน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เรากำลังเผชิญนี้ "เป็นผลจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล" และหากมนุษย์ยังคงเดินหน้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหมือนที่ผ่านมา ภายในสิ้นศตวรรษนี้ (ค.ศ. 2100 หรือ พ.ศ. 2643) อุณหภูมิโลกจะสูงขึ้นอีก 4 และอาจถึง 6 องศาเซลเซียส!! รายงาน "Turn Down The Heat: Why a 4°C Warmer World Must be Avoided" โดยธนาคารโลกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555 ยืนยันตรงกับไอพีซีซีว่า โลกกำลังเดินหน้าสู่อุณหภูมิสูงขึ้น 4 องศาเซลเซียสอย่างแน่นอน และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นคุกคามการดำรงค์อยู่ของประชากรโลกจำนวนมาก
โลกร้อน กระทบคนจนและเกษตรกรมากที่สุด
แม้โลกจะร้อนขึ้นทั้งใบ แต่ละคนกลับจะได้รับผลกระทบไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ส่วนไหนของโลกและเป็นส่วนไหนของสังคม รายงานของธนาคารโลกยืนยันว่าภูมิภาคที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดและจะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดคือภูมิภาคในเขตร้อน (tropics) และใกล้เขตร้อน (sub-tropics) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนาและมีความพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงน้อย เมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น 4 องศา สำหรับบางพื้นที่หมายความว่าอุณหภูมิในฤดูร้อนอาจสูงขึ้นกว่าปกติถึง 6-10 องศา และบางพื้นที่อาจต้องเผชิญคลื่นความร้อนรุนแรง (extreme heatwave) เกือบตลอดฤดูร้อน ปริมาณน้ำจืดจะลดลงอย่างมาก ภัยแล้งจะเกิดบ่อยขึ้น ระดับน้ำทะเลปานกลางของโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นถึง 0.5 - 1 เมตร แต่สำหรับประเทศในเขตร้อน ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอาจมากกว่าระดับเฉลี่ยของโลกถึง 15-20% โดยมีพื้นที่เสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วมมากที่สุดอยู่ในทวีปเอเชียเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทั่วโลก (รวมถึงกรุงเทพมหานคร) และประเทศที่เป็นหมู่เกาะบางประเทศอาจหายไปจากแผนที่โลก นอกจากนี้ อุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นขนาดนั้นจะทำให้ ผืนป่าหลายแห่งจะแห้งตาย ปะการังในมหาสมุทรจะถึงคราวสูญพันธุ์ เกิดการล่มสลายของระบบนิเวศน์ ดังนั้นแล้ว เกษตรกรและประชากรชนบทโดยเฉพาะในประเทศเขตร้อน/ประเทศกำลังพัฒนาผู้มีวิถีชีวิตพึ่งพายึดโยงกับธรรมชาติที่กำลังเปลี่ยนแปลง จึงเป็นผู้ที่จะได้รับผลกระทบอย่างมากจากความแปรปรวนของสภาพอากาศและการล่มสลายของระบบนิเวศน์ที่จะเกิดขึ้น
อีกปัจจัยสำคัญซึ่งกำหนดความสามารถในการตั้งรับปรับตัวกับผลจากภาวะโลกร้อนที่ต่างกันคือความเหลื่อมล้ำระหว่าง "คนจนและคนรวย" หรือ "คนที่มีต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมต่างกัน" ตัวอย่างเช่น เมื่ออุณหภูมิหน้าร้อนสูงขึ้น คนจนหรือเกษตรกรในชนบทอาจจะต้องทนร้อนไป ในขณะที่คนมีเงินนั้นมีทางเลือกมากกว่า เช่นเปิดแอร์แก้ปัญหาให้ตัวเองได้ทั้งที่เป็นการเพิ่มโลกร้อนขึ้นไปอีก
ใครก่อโลกร้อนก็ควรรับผิดชอบ
มนุษย์ทุกคนมีส่วนในการทำให้โลกร้อนขึ้น จากการบริโภค การใช้พลังงาน และกิจกรรมต่างๆ ของเรา แต่ใครมีส่วนในการก่อโลกร้อนมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตของเรา นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน วิกฤตโลกร้อนที่เกิดขึ้นมีต้นเหตุที่ประเทศพัฒนาแล้วเป็นสำคัญ เริ่มตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนเมื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มต้นขึ้น ขณะที่ประเทศอื่นๆ ยังคงมีวิถีชีวิตอยู่กับธรรมชาติและวิถีเกษตรดั้งเดิม ประเทศเหล่านี้ได้เร่งรัดพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของตนด้วยการขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหินซึ่งเป็นพลังงานราคาถูกแต่สกปรก วิถีการผลิตเพื่อกระตุ้นการพัฒนาที่ผ่านมา เช่น อุตสาหกรรมผลิตสินค้าป้อนความต้องการบริโภคอย่างไม่หยุดยั้ง และอุตสาหกรรมเกษตรเชิงเดี่ยวเพื่อผลิตอาหารซึ่งเน้นปริมาณ ใช้พลังงานอย่างเข้มข้น โดยที่พลังงานส่วนใหญ่คือเชื้อเพลิงฟอสซิลซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษมหาศาล
การพัฒนาไปล่วงหน้าของประเทศเหล่านี้ได้ขูดรีดทรัพยากรโลกโดยเฉพาะประเทศโลกที่สามทั้งหลายตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม ทั้งยังขูดรีดชั้นบรรยากาศโลกด้วยการปล่อยมลพิษไปมากเกินกว่าที่ธรรมชาติจะรับไหว แต่ผลกระทบรุนแรงกลับตกอยู่ที่ประเทศยากจนและประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายในซีกโลกใต้ดังที่กล่าวไปแล้ว ความไม่เป็นธรรมลักษณะนี้ มีผู้เรียกว่าประเทศพัฒนาแล้วกำลังติด "หนี้นิเวศน์" (ecological debt) หรือ "หนี้สภาพภูมิอากาศ" (climate debt) กับประเทศกำลังพัฒนา
อย่างไรก็ตาม คนที่ก่อโลกร้อนไม่ได้มีเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้ว ปัจจุบันประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่กำลังดำเนินรอยตามการพัฒนารูปแบบเก่าๆ ด้วยการส่งเสริมวิถีการผลิตและการบริโภคเข้มข้นซึ่งใช้โลกอย่างสิ้นเปลืองแต่ทิ้งภาระมหาศาลไว้ให้คนรุ่นหลัง การจัดอันดับประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับต้นๆ ของโลกในช่วงทศวรรตที่ผ่านมา มีประเทศกำลังพัฒนารวมอยู่ถึงครึ่ง พ.ศ. 2548 เป็นปีแรกที่จีนเริ่มปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมแซงหน้าสหรัฐอเมริกาซึ่งเคยเป็นอันดับหนึ่งมาตลอด ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าการที่จีนปล่อยก๊าซเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้เพราะจีนเริ่มกลายเป็นผู้ผลิตสินค้าและอาหารป้อนความต้องการบริโภคสินค้าราคาถูกทั่วทุกมุมโลก การปล่อยก๊าซฯ ของจีนจึงมิใช่มาจากการบริโภคของคนจีนเท่านั้น ความซับซ้อนที่เกิดจากระบบการค้าและโลกาภิวัฒน์ทำให้ยากขึ้นทุกทีที่จะชี้นิ้วว่าใครคนใดคนหนึ่งเป็นตัวการโลกร้อน
ดังที่กล่าวมาแล้ว หากมองในแง่ความเป็นธรรม ประเทศพัฒนาแล้วควรมีความรับผิดชอบลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าประเทศอื่นๆ เพราะถือว่าในอดีตได้ถลุงใช้อากาศดีไปมากแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศกำลังพัฒนาก็ไม่สมควรจะเดินหน้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศอย่างไม่ลืมหูลืมตา และควรมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย
โลกร้อนต้องแก้อย่างเป็นธรรม
สามัญสำนึกของการแก้ปัญหาโลกร้อนคือการแก้ที่ต้นตอ เมื่อก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมมนุษย์เป็นตัวก่อโลกร้อน ก็ต้องลดการปล่อยก๊าซฯ และใครปล่อยมามากแล้วในดีต (ประเทศพัฒนาแล้ว) ก็ควรจะต้องรับผิดชอบในการลดมากกว่า - นี่เป็นสิ่งที่ยอมรับกันในระดับนานาชาติ อย่างไรก็ตาม ความเป็นธรรมในการจัดการกับวิกฤตโลกร้อน ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครปล่อยมากต้องลดมาก-ใครปล่อยน้อยลดน้อยเท่านั้น เนื่องจาก นโยบาย มาตรการ และการดำเนินการในทางปฏิบัติก็มีแง่มุมของความเป็นธรรม-ไม่เป็นธรรมอยู่ด้วย
กลไก "การชดเชยการปล่อยก๊าซฯ" (Offsetting) หรือ "การค้าคาร์บอน" (carbon trading) คือการให้ประเทศพัฒนาแล้วที่มีพันธะผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศต้องลดการปล่อยก๊าซฯ สามารถซื้อหรือแลกเปลี่ยน "คาร์บอนเครดิต" จากโครงการที่ลดการปล่อยก๊าซในประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศอื่นได้ (เปรียบเหมือนการไปจ้างคนอื่นลดแทนให้แต่ตัวเองยังปล่อยได้ต่อไป) กลไกดังกล่าวถูกกระตุ้นทั่วโลกให้เป็นประหนึ่งเลือกที่ดีที่สุดในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อหยุดโลกร้อน อย่างไรก็ตาม วิธีการเช่นนี้กลับช่วยต่ออายุให้กับอุตสาหกรรมที่ก่อโลกร้อน เช่นถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีผลกำไรมหาศาล สามารถใช้เงินซื้อคาร์บอนเครดิตราคาถูกจากประเทศกำลังพัฒนาได้ โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ในทางปฏิบัติโครงการที่ได้เงินจากการขายคาร์บอนเครดิตจำนวนมากซึ่งอ้างว่าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก กลับก่อมลพิษอื่นและสร้างความเดือดร้อนต่อชุมชนท้องถิ่นในประเทศกำลังพัฒนาที่ยังบกพร่องในการดูแลสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสิทธิของประชาชนอีกด้วย
แก้โลกร้อนต้องไม่ซ้ำเติมหรือเพิ่มปัญหาอื่น
วิธีคิดแบบไม่ต้องลดเองแต่จ้างให้คนอื่นลดแทนนี้ ได้ขยายไปยังภาคป่าไม้ โดยแนวคิดที่จะให้เงินประเทศกำลังพัฒนารักษาป่าที่ตนมีอยู่รวมถึงกิจกรรมการปลูกหรือฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรม แล้วนำปริมาณคาร์บอนซึ่งคำนวนว่าป่าจะดูดซับได้นี้ไปขายหรือแลกเปลี่ยน คาร์บอนเครดิต แนวคิดนี้มีชื่อเรียกสั้นๆว่า "เรดด์" (REDD)
อย่างไรก็ตาม "ป่าไม้" ไม่ได้เป็นเพียงแค่ "ต้นดูดคาร์บอน" แต่ป่ายังเป็นแหล่งของความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งเป็นที่อยู่ของชนเผ่าพื้นเมืองและประชากรจำนวนมากของโลกซึ่งหาอยู่หากินและดำรงค์อยู่ร่วมกับธรรมชาติมาหลายชั่วอายุคน การเตรียมการหรือเริ่มทำโครงการทดลองภายใต้กลไกเรดด์ กำลังก่อให้เกิดปัญหาการช่วงชิงกรรมสิทธิที่ดิน การรอนสิทธิชุมชนที่ดูแลรักษาป่าอยู่แล้ว และผลักดันให้ชุมชนดั้งเดิมที่อยู่ในป่าย้ายออกไป เพื่อให้รัฐหรือบริษัทจะได้เข้าไปทำโครงการ ในหลายกรณีพบว่ามีการใช้กำลังเจ้าหน้าที่และอาวุธกับชุมชน และยังพบว่ามีการตัดไม้ในเขตป่าดั้งเดิมเพื่อให้กลายเป็นป่าเสื่อมโทรมเพื่อที่จะสร้างโครงการปลูกป่าในพื้นที่นั้นอีกทีหนึ่ง ปัญหาเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศทั้งในทวีปแอฟริกา ละตินอเมริกา และเอเชีย
หนทางเดียวที่จะหยุดวิกฤตโลกร้อนได้อย่างเป็นธรรม คือการเปลี่ยนวิถีการผลิตและวิถีการบริโภคที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ซึ่งเข้มข้นทั้งการถลุงใช้ทรัพยากรและการปล่อยมลพิษ และหากต้นตอของปัญหาคือระบบคิดและวิธีการพัฒนาของมนุษย์ที่ผ่านมา ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้อง "เปลี่ยนระบบ - อย่ารอให้โลกเปลี่ยน" (System Change Not Climate Change)