ข้อเสนอเบื้องต้นของเกษตรกรรายย่อยต่อการแก้ไขปัญหาโลกร้อน[1]
เครือข่ายเกษตรทางเลือก
13 กันยายน 2552
หลักการร่วมกัน คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมที่ประเทศพัฒนาแล้วใช้บรรยากาศของโลกไปเกินกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้น ผู้ปล่อยมลพิษ คือ ประเทศพัฒนาแล้วควรจะรับผิดชอบกับปัญหาโลกร้อนเป็นหลัก ไม่ใช่พยายามบิดเบือนให้ภาคเกษตรของเกษตรกรรายย่อยในประเทศกำลังพัฒนาเป็นจำเลยของปัญหาโลกร้อน แม้ว่าในความเป็นจริงการเกษตรของเกษตรกรรายย่อยอาจจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกบ้าง แต่ก็เป็นการปล่อยเพื่อความอยู่รอด และก็เป็นส่วนหนึ่งของวงจรคาร์บอนตามธรรมชาติ
บนพื้นฐานหลักการข้างต้น ข้อเสนอต่อการเจรจาโลกร้อนของรัฐบาลไทยในเวทีที่กรุงเทพ บาเซลโลน่าและโคเปนเฮเกนในช่วงปลายปี 2552 มีดังนี้
- การปรับตัวหรือลดปัญหาโลกร้อนในภาคเกษตรจะต้องอยู่บนพื้นฐานของการยอมรับสิทธิชุมชนและสิทธิเกษตรกร (รวมถึงสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรที่สำคัญ เช่น สิทธิที่ดิน) และต้องเปิดพื้นที่ให้มีส่วนร่วมจากเกษตรกรรายย่อยอย่างกว้างขวาง
- สนับสนุนการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตสู่เกษตรกรรมยั่งยืนหรือเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นมิตรกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า รวมทั้งสามารถช่วยกักเก็บคาร์บอนในดินได้ โดยจัดตั้งให้มีกลไกที่มีส่วนร่วมจากภาคประชาชน (เช่น ในรูปของสถาบันอิสระเกษตรกรรมยั่งยืน) เป็นตัวกลางในการขับเคลื่อน
- เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงทางอาหาร จะต้องมีการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม
- ในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน ต้องไม่ละเลยองค์ความรู้และภูมิปัญญาชาวบ้าน และหันไปให้ความสำคัญกับความรู้ทางวิชาการเพียงอย่างเดียว เช่น เทคนิคการใช้ถ่านปรับปรุงดินและกักเก็บคาร์บอนซึ่งได้รับการบรรจุอยู่ในร่างเจรจา แท้จริงแล้วเป็นหลักการที่ไม่ต่างไปจากการทำไร่หมุนเวียนซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวบ้านที่อยู่กับป่า
- ฟื้นฟูและส่งเสริมพันธุ์พืชพื้นเมืองซึ่งมีความทนทานต่อสภาพอากาศที่แปรปรวนได้ดีกว่าเป็นทางเลือกในการปรับตัว พืชตัดแต่งพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาเพราะถูกผูกขาดโดยบริษัทข้ามชาติ และยังทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ
- บรรษัทข้ามชาติไม่ควรได้รับการผูกขาดสิทธิบัตรพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์และสิ่งมีชีวิต เพราะจะกลายเป็นอุปสรรคสำหรับการปรับตัวและการแก้ไขปัญหาโลกร้อนของเกษตรกรรายย่อย ทั้งในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อยที่สุด
- ประเทศพัฒนาแล้วและรัฐบาลของประเทศกำลังพัฒนาต้องให้ความช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยเพื่อปรับตัวรับมือกับผลกระทบโดยไม่มีเงื่อนไข โดยเน้นให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้
- พัฒนาระบบเฝ้าระวังและจัดให้มีข้อมูลพยากรณ์และเตือนภัยทางการเกษตร โดยให้เกษตรกรราย่อยสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและกว้างขวางมากที่สุด
- นโยบายในการแก้ไขปัญหาโลกร้อนที่ผิดๆอาจทำให้ภาคเกษตรและเกษตรกรกลายเป็น “เหยื่อ” มากกว่าที่จะเป็นทางออกของปัญหา เช่น การสนับสนุนให้ธุรกิจปลูกพืชพลังงานอย่างกว้างขวางอาจนำไปสู่ความขัดแย้งด้านทรัพยากรระลอกใหม่ และไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาโลกร้อน เพราะหากคำนวณตลอดวงจรการผลิตอาจทำร้ายชั้นบรรยากาศมากกว่า โดยนัยยะนี้ การแก้ปัญหาที่ตรงจุดกว่าอาจหมายถึงการจัดการกับความต้องการพลังงานมากกว่าการจัดหาพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการ
[1] จากการระดมความคิดเห็นวันที่ 13 กันยายน 2552 โรงแรมพงศ์เพชรเกสโตเตล กรุงเทพ จัดโดยเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก