Skip to main content
Thai Climate Justice Working Group logo

Thai Climate Justice Working Group

  • หน้าแรก
  • ปัญหา
  • ทางออก
  • ประเด็น
  • บอกต่อ
  • คลังข้อมูล
  • กิจกรรม
  • เกี่ยวกับเรา

คลังข้อมูล

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ทางออกของโลกร้อน ?

Submitted by webmaster on Sat, 10/03/2009 - 15:08

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ทางออกของโลกร้อน ??[1]

โดย:  สันติ โชคชัยชำนาญกิจ จากกลุ่มศึกษาพลังงานทางเลือกเพื่ออนาคต

อุตสาหกรรมนิวเคลียร์อยู่ในภาวะตกต่ำมาตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมาหลังจากเกิดเหตุการณ์โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียณ์เชอร์โนบิลที่ประเทศรัสเซียรั่วไหล  แต่ขณะนี้กลุ่มอุตสาหกรรมนิวเคลียร์กำลังมีความพยายามที่จะฟื้นฟูพลังงานนิวเคลียร์ขึ้นมาใหม่ โดยการอ้างเหตุผลว่าเป็นทางเลือกด้านพลังงานที่จะมาแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลในการแก้ปัญหาโลกร้อน ในส่วนของประเทศไทยก็เป็นครั้งแรกที่มีการบรรจุพลังงานนิวเคลียร์เข้าสู่แผนแม่บทด้านพลังงานของประเทศ ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลได้ตัดสินใจเชิงนโยบายแล้วที่จะนำพลังงานนิวเคลียร์เข้ามาใช้

โดยภาพรวมของแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า 2007 (พีดีพี 2007) นับจากนี้ไปจนถึงปีพ.ศ. 2564 จะมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และนิวเคลียร์ รวมกำลังการผลิตกว่า 22,000 เมกะวัตต์ นี่คือพลังงานที่ก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อน  ขณะที่เรามีข้อมูลจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานระบุว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน (แสงอาทิตย์ พลังงานน้ำขนาดเล็ก พลังงานจากลม ก๊าซชีวมวล ฯลฯ) รวมกันถึง 56,000 เมกะวัตต์ แต่ในแผนพีดีพีฯ กลับมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นไม่ถึง 2,000 เมกะวัตต์ในระยะ 15 ปีข้างหน้า ในทางกลับกัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติและพลังงานนิวเคลียร์กลับจะมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นถึงกว่า 22,000 เมกะวัตต์ คำถามคือ เราจำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้ามากขนาดนั้นหรือไม่

                ย้อนกลับไปดูเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาคือ ระหว่างปี 2541-2551 การใช้ไฟฟ้าของเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 22,000 เมกะวัตต์เมื่อปี 2551 ซึ่งตามความจำเป็นในด้านความมั่นคงพลังงาน เราจะต้องมีกำลังผลิตไฟฟ้ามากกว่าที่ใช้อยู่จริงประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ แต่ปรากฏว่าเรามีโรงไฟฟ้าอยู่ในระบบมากกว่านั้นมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เช่นในปี 2551 เรามีโรงไฟฟ้าที่เกินจากความจำเป็นประมาณ 3,939 เมกะวัตต์ หรือมากกว่า 2 เท่าของความต้องการไฟฟ้าสูงสุดของภาคใต้ทั้งภาค โรงไฟฟ้าที่สร้างเกินความจำเป็นเหล่านี้ คิดเป็นต้นทุนกว่า 100,000 ล้านบาท และต้นทุนเหล่านี้ก็ถูกผลักภาระเข้ามาในค่าไฟฟ้าที่ผู้บริโภคอย่างเราทุกคนต้องจ่ายอยู่ทุกเดือน และถ้าเราเดินตามแผนพีดีพี 2007 ต่อไป ในอีก 14 ปีข้างหน้า คือในปี 2564 เราจะมีโรงไฟฟ้าที่เกินจากที่มีสำรองอยู่15 เปอร์เซ็นต์เกิดขึ้นอีกประมาณ 7,581 เมกะวัตต์เป็นอย่างน้อย และพลังงานนิวเคลียร์ก็อยู่ในจำนวนนั้นด้วย

                ปัจจุบันภาคพลังงานของประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 56.1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในจำนวนนี้มาจากพลังงานไฟฟ้า 41 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 15 เปอร์เซ็นต์มาจากภาคการขนส่ง คำถามมีอยู่ว่าก๊าซเรือนกระจก 41 เปอร์เซ็นต์นี้มาจากประชาชนทั่วไปหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ เพราะการใช้พลังงานไฟฟ้านั้น 70 เปอร์เซ็นต์อยู่ในภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ ส่วนประชาชนทั้งประเทศซึ่งใช้ไฟฟ้าในภาคครัวเรือนนั้นรวมแล้วคิดเป็น 21 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

กล่าวอีกอย่างคือว่า  ภาคอุตสาหกรรมกับภาคธุรกิจซึ่งเป็นคนส่วนน้อยนั้นใช้ไฟฟ้ามาก แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศใช้ไฟฟ้าเป็นส่วนน้อยเท่านั้น และเป็นการใช้เพื่อความจำเป็นพื้นฐานในชีวิต ไม่ได้ใช้ในการประกอบธุรกิจเพื่อหากำไร แต่คนส่วนใหญ่เหล่านี้ต้องกลายเป็นผู้เสียสละทรัพยากรท้องถิ่นและวิถีชีวิตที่ดีให้แก่โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ๆ อยู่เสมอ ตัวอย่างที่ไม่เป็นธรรมที่เห็นได้ชัดเจนอันหนึ่งคือ  การใช้ไฟฟ้าของกรุงเทพฯ ในปีพ.ศ. 2549 คนกรุงเทพฯ ใช้พลังงานไฟฟ้ารวมถึง 32.5 เปอร์เซ็นต์ของทั้งประเทศ หรือถ้าคิดเป็นความต้องการพลังไฟฟ้า กรุงเทพต้องการกำลังผลิตไฟฟ้าคิดเป็น 39 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการไฟฟ้าสูงสุดของทั้งประเทศ (ตัวเลขเมื่อปีพ.ศ. 2551) แต่เวลาจะสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ไปสร้างที่ไหน เราต่างทราบกันดี  และขณะนี้ก็มีการสำรวจพื้นที่สำหรับก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อยู่ถึง 14 แห่ง ในจำนวนนี้อยู่ที่ภาคใต้ 12 แห่ง ทั้ง ๆ ที่ภาคใต้คือ ภาคที่ใช้ไฟฟ้าน้อยที่สุดของประเทศ ดังที่แสดงให้เห็นในตารางข้างล่างนี้

 

การใช้พลังงานไฟฟ้า

(ปี 2549)

ความต้องการไฟฟ้าสูงสุด

(ปี 2551)

ล้านหน่วย

ร้อยละ

เมกะวัตต์

ร้อยละ

กรุงเทพฯ

41,483

32.5

8,816

39

ภาคกลาง

55,193

43.2

7,985

35

ภาคเหนือ

9,802

7.7

2,368

10

ภาคอีสาน

11,045

8.6

2,578

11

ภาคใต้

10,288

8.0

1,880

8

 

เปรียบเทียบปริมาณการใช้ไฟฟ้าปี 2549

จังหวัด  (ล้านหน่วย)

ห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ (ล้านหน่วย)

แม่ฮ่องสอน

65

 

 

 

 

 

278

 

 

 

 

สยามพารากอน

+

เซ็นทรัล เวิลด์

+

มาบุญครอง

 

อำนาจเจริญ

110

มุกดาหาร

128

หนองบัวลำภู

148

น่าน

175

ยโสธร

188

อุทัยธานี

193

พะเยา

211

มุกดาหาร

219

สตูล

230

สมุทรสงคราม

237

เลย

246

แพร่

254

พัทลุง

258

นราธิวาส

278

ระนอง

278

 

ที่มา: 1)  การไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. 2549

        2) รายงานการใช้ไฟฟ้า พ.ศ. 2549 กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน

พลังงานนิวเคลียร์ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน

ขณะนี้มีประเด็นว่าพลังงานนิวเคลียร์กำลังจะเป็นพระเอกในการแก้โลกร้อน ข้อเท็จจริงก็คือพลังงานนิวเคลียร์ไม่ใช่พลังงานหมุนเวียน แหล่งยูเรเนียมที่มีคุณภาพที่เอามาใช้ได้สำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่มีอยู่แล้ว 439 โรง ขณะนี้ใช้ไปได้ประมาณ 50 ปีก็จะหมด ดังนั้นยูเรเนียมจะมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ และถ้าเราเพิ่มการใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์มากขึ้นกว่าที่ใช้อยู่ ยูเรเนียมก็จะยิ่งแพงขึ้นและหมดเร็วขึ้นไปอีก นอกจากนี้พลังงานนิวเคลียร์ก็ไม่ได้ปลอดซึ่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จริงอย่างที่กลุ่มผู้สนับสนุนพยายามพูดกัน เพราะก่อนที่จะนำแร่ยูเรเนียมมาผลิตไฟฟ้าได้ก็ต้องเริ่มตั้งแต่การทำเหมืองแร่ยูเรเนียม การผลิตแท่งเชื้อเพลิง ฯลฯ ซึ่งต้องใช้พลังงานจากฟอสซิลจำนวนมาก แล้วแท่งเชื้อเพลิงใช้แล้วก็ต้องมีการดูแลจัดการต่อไปอีกเป็นพันๆ ปี กระบวนการเหล่านี้มีการปล่อยคาร์บอนมากมายตามรูปภาพที่แสดงอยู่ด้านล่าง  และสิ่งที่สำคัญคือ พลังงานนิวเคลียร์มีอันตรายที่พลังงานอย่างอื่นไม่มี นั่นคือ อันตรายจากกัมมันตภาพรังสี

               แม้ว่ามีการพูดถึงภาพรวมของการปล่อยคาร์บอนทั่วโลกว่า มาจากภาคพลังงานไม่ถึง 24 เปอร์เซ็นต์ ในจำนวนนี้มาจากไฟฟ้าไม่ถึง 24 เปอร์เซ็นต์ และไฟฟ้าที่ใช้ทั่วโลกมาจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพียงแค่ 15 เปอร์เซ็นต์ของไฟฟ้าทั้งหมด คำถามมีอยู่ว่า หากคิดจะใช้พลังงานนิวเคลียร์ช่วยลดภาวะโลกร้อน จะต้องทำอย่างไร        

คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) มีรายงานเมื่อปี 2551 ชี้ว่า หากต้องการบรรเทาผลกระทบจริงๆ ทั่วโลกต้องลดการปล่อยคาร์บอนลงให้ได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2050 หรือภายในช่วง 40 ปีข้างหน้า และประเทศพัฒนาแล้วจะต้องลดคาร์บอนให้ได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ภายใน 10 ปีข้างหน้า หากใช้โจทย์นี้เป็นตัวตั้งแล้วเพิ่มพลังงานนิวเคลียร์มากขึ้น จากรายงาน “Energy Technologies Perspective 2008” ที่องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency หรือ IEA) นำออกมาเผยแพร่ระบุว่า หากในระยะ 40 ปีนับจากวันนี้ ทั่วโลกเพิ่มการใช้พลังงานนิวเคลียร์ขึ้นเป็น 4 เท่าของการใช้ในปัจจุบัน จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกได้แค่ 4 เปอร์เซ็นต์จากเป้าหมายที่ควรจะลดให้ได้ 80 เปอร์เซ็นต์  ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า การเพิ่มพลังงานนิวเคลียร์เกือบจะไม่มีผลอะไรต่อการช่วยกู้วิกฤติการณ์ของปัญหาโลกร้อนเลย

ตรงกันข้ามการเพิ่มพลังงานนิวเคลียร์ขึ้นอีก 4 เท่า หมายความว่าทั่วโลกจะต้องสร้างเตาปฏิกรณ์ 1,400 โรงภายใน 40 ปี เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งต้องสร้าง 2 โรง ใช้เงินประมาณ 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เงินจำนวนนี้ถ้านำไปลงทุนในด้านอื่นเพื่อเป้าหมายในการลดโลกร้อน ลดการปล่อยก๊าซ จะช่วยลดคาร์บอนได้มากกว่าการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นอย่างมาก ที่สำคัญคือ การหลีกหนีปัญหาโลกร้อนด้วยการมุ่งสู่พลังงานนิวเคลียร์ยังเป็นการหนีเสือปะจระเข้ เพราะการมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่มขึ้น 1,400 โรง หมายถึงโลกจะมีกากนิวเคลียร์เฉพาะจากแท่งเชื้อเพลิงใช้แล้ว 35,000 ตันต่อปี มีพลูโตเนียมรวมอยู่ในนั้น 350 ตันต่อปี  ซึ่งสามารถนำไปผลิตเป็นระเบิดนิวเคลียร์ได้ถึงปีละ 35,000 ลูก กากนิวเคลียร์ปริมาณมหาศาลต่อปีนี้จะก่อภาระในเรื่องการจัดการดูแลให้ปลอดภัยต่อไปอีกนาน และเพิ่มความเสี่ยงในเรื่องการก่อการร้ายหรืออุบัติเหตุทางนิวเคลียร์อีกมากมาย ดังนั้น พลังงานนิวเคลียร์จึงไม่ใช่ทางออกของภาวะโลกร้อน

เลิกขู่ไฟฟ้าตกต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม!

แต่เรามักจะถูกขู่ให้กลัวกันไปว่า หากไม่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เดี๋ยวไฟจะตก ไฟจะดับทั้งประเทศ แต่ในความเป็นจริงปัญหาความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าของเราไม่ได้มาจากการมีโรงไฟฟ้าไม่พอ ดังจะเห็นได้จากปริมาณกำลังผลิตสำรองที่ล้นระบบในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ในหลายครั้งก็ยังเกิดสถานการณ์ไฟตกไฟดับนั้นเกิดขึ้นเพราะปัญหาในเรื่องประสิทธิภาพในการบริหารระบบไฟฟ้าที่มีอยู่ รวมทั้งปัญหาความไม่เป็นธรรมทางสังคมของระบบไฟฟ้าของเรา จากการที่ประชาชนทั้งประเทศโดยเฉพาะคนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนชนบทใช้ไฟฟ้าจริงๆ ไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ แต่คนส่วนน้อยในภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจคือ ผู้บริโภคไฟฟ้ากว่า 70 เปอร์เซ็นต์ถูกใช้โดยคนส่วนน้อย และต้องมีการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ๆ เพื่อตอบสนองการใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่จำกัดของภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ โดยที่โรงไฟฟ้าใหม่มักจะถูกกำหนดให้สร้างในพื้นที่ชนบทที่ประชาชนมีวิถีชีวิตพึ่งพาอยู่กับทรัพยากรธรรมชาติที่จะถูกทำลายจากการสร้างโรงงไฟฟ้า

 ปัจจุบัน เราจะเห็นว่า ชุมชนได้ลุกขึ้นมาคัดค้านโครงการโรงไฟฟ้ามากขึ้น แม้กระทั่งโครงการพลังงานหมุนเวียน ซึ่งในหลายพื้นที่กำลังเผชิญกับโครงการพลังงานชีวมวลขนาดไม่เกิน 9.9 เมกะวัตต์ คือไม่ถึง 10 เมกะวัตต์เพื่อที่จะได้ไม่ต้องจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ) ปัจจุบันโครงการเหล่านี้เกิดขึ้นมากมาย โดยมีแรงจูงใจทางด้านผลกำไรเป็นสำคัญ เพราะนอกจากรัฐบาลจะมีนโยบายส่งเสริมด้วยเงินส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้าแล้ว ในประเด็นเรื่องโลกร้อนยังมีโครงการซีดีเอ็มซึ่งโครงการเหล่านี้อาจจะได้เงินอีกต่อหนึ่งจากการขายคาร์บอนเครดิต โครงการจำนวนมากจึงไม่ได้คิดเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คิดถึงเรื่องกำไรเพียงอย่างเดียว  คำถามคือ การที่ชุมชนลุกขึ้นมาคัดค้านโครงการเหล่านี้ผิดไหม ผมคิดว่าไม่ผิด ถ้าเราคิดในแง่ที่ว่าโครงการเหล่านี้แม้จะผลิตพลังงานสะอาด แต่ก็ยังคงผลิตขึ้นเพื่อป้อนให้กับการใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือย เป็นการบริโภคอย่างเผาผลาญโลกอยู่นั่นเอง

 

สุดท้าย การแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนจากภาคพลังงานคงไม่ได้อยู่ที่ว่า เราจะมีทางเลือกในการจัดหาพลังงานเพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างไร แต่อยู่ที่ว่าเราจะบริโภคพลังงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และเกิดความเป็นธรรมทางสังคมในระบบไฟฟ้ามากขึ้นได้อย่างไร

 

----------------------------------------------

 

[1] เอกสารชุดนี้เรียบเรียงมาจากการนำเสนอของคุณสันติ โชคชัยชำนาญกิจ จากเวทีสัมมนา “ลดโลกร้อน ต้องทำอย่างเป็นธรรม”  วันที่ 3-4 ตุลาคม 2552 ณ โรงเรียนวัดเบญจมพิตร กรุงเทพ จัดโดย คณะทำงานเพื่อโลกเย็นที่เป็นธรรม ร่วมกับเครือข่ายองค์กรประชาชนไทย

Attachments: 

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ทางออกของโลกร้อน?

ป้ายคำนิยม

coal forest carbon National Master Plan PDP REDD+ การปรับตัว ถ่านหิน ป่าไม้ พลังงาน ภาคประชาชน เกษตรกรรม แผนแม่บทแห่งชาติ
More

Thai Climate Justice Working Group
คณะทำงานโลกเย็นที่เป็นธรรม