กันยายน 2557 - คณะทำงานโลกเย็นที่เป็นธรรม (Thai Climate Justice) ร่วมกับขบวนการเคลื่อนไหวและกลุ่มองค์กรประชาชนกว่า 340 องค์กรทั่วโลก ออกแถลงการ “หยุดยั้งและป้องกันโลกป่วยไข้” ระบุเหตุพื้นฐานที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่า เพราะมนุษย์พึ่งพาและเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลมากเกินไป โดยไม่ยอมรับว่าโลกมีข้อจำกัด และคิดว่าทรัพยากรธรรมชาติเป็นสิ่งของที่ซื้อขายได้ไม่สิ้นสุด ในขณะเดียวกัน เราปล่อยให้คนไม่กี่กลุ่มควบคุมทิศทางการพัฒนา ทำใหผลประโยชน์ไปไม่ถึงคนส่วนใหญ่ในสังคม และเราปล่อยให้นักการเมือง/ผู้มีอำนาจตัดสินใจ ฟังและอุ้มนักธุรกิจมากกว่าประชาชน
19-23 กันยายน, นิวยอร์ก:
รวมพลังขับเคลื่อน: หยุดยั้งและป้องกันโลกที่ป่วยไข้!
Mobilize and organize to Stop and Prevent Planet Fever!
เมื่อมนุษย์เราเกิดอาการไข้ เราจะเริ่มวิตกกังวลขึ้นมาทันทีและพยายามหาทางรักษา เรารู้ว่าถ้าอุณหภูมิร่างกายของเราสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ย 1.5 องศาเซลเซียส ยังไม่ต้องถึง 2 องศาด้วยซ้ำ อาจมีอันตรายร้ายแรงตามมา และถ้าปล่อยให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 4-6 องศาหรือมากกว่านั้น อาจหมายถึงภาวะหมดสติและถึงขั้นเสียชีวิต
เราควรทำเช่นเดียวกันหากดาวเคราะห์โลกที่เราอาศัยอยู่เกิดอาการเจ็บป่วย ในช่วง 11,000 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ประมาณ 14องศาเซลเซียส แต่ปัจจุบันกำลังเพิ่มขึ้นอีก 1องศาเซลเซียส และหากเราไม่เร่งดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อหยุดยั้งอาการป่วยที่กำลังแพร่กระจายนี้ คาดการณ์ว่าโลกของเราจะร้อนเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยอีก 2 ถึง 6 องศาเซลเซียสในช่วงก่อนสิ้นศตวรรษ ภายใต้ภาวะอาการป่วยไข้ที่เป็นอยู่ สรรพชีวิตดังที่เรารู้จักบนโลกกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลที่เราอาจคาดไม่ถึง
เราไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นอกจากต้องเริ่มต้นรักษาอาการป่วยไข้ของโลกในทันใด และ ณ จุดที่โลกกำลังป่วยหนักนี้ ใช่ว่าเราจะเลือกทำอะไรอย่างไรก็ได้ แต่ต้องรีบหาทางรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมนุษย์เป็นไข้ เราต้องให้ร่างกายได้พักผ่อน ดื่มน้ำมากๆ ให้ยารักษาที่ถูกกับโรค และหากมีไข้สูงขึ้นอีก จะต้องพาไปโรงพยาบาลและพยายามค้นหาสาเหตุที่มาของอาการไข้ ซึ่งอาจเกิดได้ทั้งจากการติดเชื้อแบบทั่วไป จนถึงโรคที่อาจคุกคามต่อชีวิต เช่น โรคมะเร็ง
ยารักษาโลกที่ถูกต้อง
กรณีอาการป่วยของโลกในตอนนี้ การจ่ายยารักษาที่เหมาะสม ประกอบด้วยมาตรการอย่างน้อย 10 ประการ ที่ต้องเร่งดำเนินการในทันที กล่าวคือ
1. ให้พันธะสัญญาที่เป็นภาระผูกพันทันที – ไม่ใช่เพียงให้คำมั่นแบบสมัครใจ – ในการควบคุมอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นของโลกไม่ให้เกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียสภายในช่วงศตวรรษนี้ โดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาต่อปี ให้เหลือ 38 กิกะตันภายในปี 2020
2. ให้โลกได้พัก โดยการทำพันธะสัญญาที่มีผลผูกพัน เพื่อปล่อยเชื้อเพลิงฟอสซิลสำรองที่ค้นพบแล้วกว่า 80% ไว้ใต้ผืนดินและมหาสมุทรต่อไป อย่านำมันขึ้นมาเผา
3. เลิกถลุงใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืน โดยห้ามโครงการสำรวจและขุดเจาะเชื้อเพลิงฟอสซิลและนิวเคลียร์ใหม่ทั้งหมด เช่น น้ำมัน หินน้ำมัน ทรายน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ยูเรเนียม รวมถึงโครงการก่อสร้างท่อส่งก๊าซและเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ทำลายธรรมชาติ เช่นโครงการ Keystone XL
4. เร่งพัฒนาและเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนที่สะอาด เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานความร้อนใต้พิภพ และพลังงานจากคลื่นในทะเล ที่ให้สิทธิความเป็นเจ้าของและการควบคุมแก่สาธารณะและชุมชนมากขึ้น
5. ส่งเสริมการผลิตในท้องถิ่นและการบริโภคผลิตภัณฑ์คงทนที่จะตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของประชาชน และหลีกเลี่ยงการขนส่งสินค้าต่างๆ ที่สามารถผลิตได้ในพื้นที่
6. กระตุ้นการเปลี่ยนผ่านจากระบบเกษตรอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกที่เน้นป้อนซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ทั่วโลก เป็นการผลิตโดยฐานของชุมชนเพื่อตอบสนองความต้องการอาหารของท้องถิ่นที่อยู่บนพื้นฐานของอธิปไตยทางอาหาร
7. นำกลยุทธ์ของเสียเหลือศูนย์ (Zero Waste) มาประยุกต์และปรับใช้ในกระบวนการจัดการ รีไซเคิล และกำจัดขยะ รวมทั้งการปรับปรุงดัดแปลงอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงานทั้งระบบทำความร้อนและระบบทำความเย็น
8. ปรับปรุงและขยายระบบขนส่งมวลชนสาธารณะสำหรับการเคลื่อนย้ายผู้คนและการขนส่งสินค้าภายในศูนย์กลางเมือง และระหว่างเมืองกับภูมิภาคต่างๆ ด้วยระบบรถไฟความเร็วสูงที่มีประสิทธิภาพ
9. พัฒนาภาคเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่ตอบสนองการสร้างงาน และการคืนสมดุลให้แก่ระบบโลก เช่น งานที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และงานฟื้นฟูโลก
10. ปลดอุตสาหกรรมสงครามและโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำสงคราม และย้ายงบประมาณด้านการสงครามมาใช้เพื่อส่งเสริมสันติภาพอย่างแท้จริง
อย่าจ่ายยาผิดขนาน
ในขณะเดียวกัน เราต้องตระหนักว่า สิ่งที่มนุษย์คิดทุกอย่างอาจไม่ใช่วิธีการรักษาที่เหมาะสมทั้งหมด และความคิดบางอย่างอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ภาวะท้าทายที่คับขันที่สุดของเรา อาจเป็นข้อเท็จจริงที่ว่า บรรษัทขนาดใหญ่กำลังจับเอาวาระเรื่องโลกร้อนมาสร้างธุรกิจใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อฉวยโอกาสหาประโยชน์จากวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น ดังนั้น เราจำเป็นต้องส่งสาสน์ที่ดังและชัดเจน ไปยังบรรษัทเหล่านั้นว่า: “หยุดหาผลประโยชน์จากโศกนาฏกรรมที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ!”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจำเป็นต้องต่อต้านการแก้ปัญหาแบบ “ฟอกเขียวกลุ่มทุน” โดยปฏิเสธนโยบาย ยุทธศาสตร์ และมาตรการต่างๆ ที่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ดังต่อไปนี้:
-
ปฏิเสธการแปรสภาพธรรมชาติให้กลายเป็นสินค้า (commodification) และเป็นทุน (financialization) และการแปรรูปสมบัติสาธารณะไปเป็นของเอกชน (privatization) ผ่านการส่งเสริม "เศรษฐกิจสีเขียว" แบบผิดๆ ซึ่งมุ่งเน้นการตีราคาของธรรมชาติและสร้างตลาดอนุพันธ์ใหม่ในการค้าธรรมชาติ ที่จะยิ่งเพิ่มความไม่เท่าเทียมในสังคมและเร่งรัดการทำลายธรรมชาติ
-
สิ่งเหล่านี้หมายถึง การปฏิเสธกลไกและมาตรการต่างๆ ที่ฟังดูดีแต่เกิดขึ้นมาเพื่อสร้างธุรกิจใหม่หวังผลกำไรให้แก่บรรษัทขนาดใหญ่ เช่น กลไก REDD (กลไกการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการตัดไม้ทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่าไม้), Climate Smart Agriculture (ระบบเกษตรกรรมที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ), Blue Carbon (คาร์บอนสีน้ำเงิน หรือแหล่งคาร์บอนในะื้นที่ชายฝั่งและทะเล) และ Biodiversity offsetting (การชดเชยความหลากหลายทางชีวภาพ) เป็นต้น
-
ปฏิเสธทางออกที่ใช้เทคโนโลยีซึ่งยังพิสูจน์ไม่ได้ถึงผลกระทบและไม่ยั่งยืนในระยะยาว เช่น วิศวกรรมธรณี (geo-engineering), การดัดแปลงพันธุกรรม (GMO), เชื้อเพลิงเกษตร (agrofuels), พลังงานชีวภาพอุตสาหกรรม (industrial bioenergy), ชีววิทยาสังเคราะห์ (synthetic biology), นาโนเทคโนโลยี, การขุดเจาะก๊าซธรรมชาติใต้ชั้นหินดินดานด้วยเทคโนโลยี hydraulic fracturing หรือ fracking, โครงการพลังงานนิวเคลียร์, การผลิตพลังงานจากของเสียด้วยกรบวนการเผา และอื่น ๆ
-
ปฏิเสธการสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่ไม่จำเป็น และมิได้ก่อประโยชน์ให้แก่ประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งยังเป็นตัวก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก เช่น โครงการเขื่อนขนาดใหญ่, ทางด่วนขนาดใหญ่เกินจำเป็น, สนามกีฬาสำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลก เป็นต้น
-
ปฏิเสธระบบการค้าและการลงทุนเสรีที่ส่งเสริมการค้าเพื่อผลกำไร ในขณะเดียวกันกลับลดการจ้างงานในประเทศ, ทำลายธรรมชาติ และลดความสามารถของประเทศที่จะกำหนดวาระสำคัญทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของตัวเอง
การรักษาเชิงป้องกัน
ท้ายที่สุด เราจำเป็นต้องก้าวไปให้ไกลกว่าการเลือกว่าวิธีการรักษาแบบไหนที่ถูกหรือผิด เพื่อไปสู่การระบุว่าอะไรคือเชื้อโรคที่กำลังทำให้โลกของเราไข้ขึ้นไม่หยุดอยู่ในขณะนี้ เพราะหากเราไม่หยุดปัญหาโดยการขจัดต้นตอ ความป่วยไข้ก็จะกลับมาอีกเรื่อยๆ ในรูปแบบที่รุนแรงหนักหนาสาหัสกว่าเดิม เราจึงต้องพิจารณาให้เห็นรากเหง้าที่แท้จริงของโรคเพื่อที่จะฝ่าวิกฤตนี้ไปให้ได้
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการสืบสาวที่มาของปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา โดยย้อนกลับไปถึงยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อ 250 ปีที่แล้ว จากการวิเคราะห์ดังกล่าว ชี้ชัดว่า ต้นตอสำคัญของปัญหาอยู่ที่รูปแบบอุตสาหกรรมที่เร่งถลุงใช้และผลิตเพื่อผลกำไรของคนกลุ่มน้อย เราจำเป็นที่จะต้องทดแทนระบบทุนนิยมด้วยระบบใหม่ ที่จะสร้างความกลมกลืนระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ที่มิใช่รูปแบบการเจริญเติบโตอันไม่มีที่สิ้นสุดของระบบทุนนิยมซึ่งหวังเพียงการสร้างผลกำไรมากขึ้นเรื่อยๆ เราต้องการระบบใหม่ที่เชื่อมโยงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับสิทธิมนุษยชน ที่สามารถคุ้มครองชุมชนที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด เช่น ผู้อพยพ และตระหนักถึงสิทธิของชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม
แม่ธรณี (Mother Earth) และทรัพยากรธรรมชาติ ไม่สามารถที่จะตอบสนองความต้องการในการบริโภคและการผลิตของโลกอุตสาหกรรมที่เป็นอยู่เช่นนี้ได้ตลอดไป เราต้องการระบบใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ของคนเพียงกลุ่มเล็กๆ และการที่จะเปลี่ยนไปในทิศทางนี้ได้ เราจำเป็นต้องจัดสรรความมั่งคั่งใหม่ เพราะปัจจุบันถูกควบคุมด้วยคนเพียง 1% ของโลก ขณะเดียวกัน เราจำเป็นต้องนิยามความหมายของคุณภาพชีวิต การกินดีอยู่ดี และความเจริญรุ่งเรือง ของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกใบนี้ใหม่ โดยคำนึงถึงข้อจำกัด และตระหนักถึงสิทธิของแม่ธรณีและธรรมชาติ
กล่าวโดยสรุป ประชาชนทั้งหลายต้องรวมพลังเพื่อขับเคลื่อนในเดือนกันยายน ที่นิวยอร์ก และทั่วโลก เพื่อผลักดันให้เกิดกระบวนการที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่าน ที่จะสามารถกระเทาะรากทางโครงสร้างของวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งโลกกำลังเผชิญอยู่ได้
สำหรับแถลงการณ์ภาษาอังกฤษ และรายชื่อองค์กรและขบวนการประชาชนที่ร่วมลงนาม ดูได้จากเอกสารแนบด้านล่าง หรือที่ URL นี้:
For English version and name of organizations and movements signing on to the statement attached below or URL:
http://climatespace2013.wordpress.com/2014/09/16/mobilize-and-organize-to-stop-and-prevent-planet-fever/